แม้ทุกวันนี้ข้าพเจ้าจะออกมานั่งทำงานอยู่กับบ้าน(ทำงานจริง ๆ นะ ไม่ได้โม้) เป็นงานหลักและงานอดิเรก (ทำไมถึงใช้คำว่า ‘ออกมาอยู่กับบ้าน’ มันต้อง ‘กลับมาอยู่กับบ้าน’ สิ) หากมีเรื่องต้องโผล่หัวออกจากบ้านบ้าง ก็มักเป็นกรณีที่สามารถเลือกเวลาและสถานที่ให้ไม่ก่ออันตรายแก่ชีวิตและหัวใจมากนักได้บ้างตามสมควร อัลฮัมดุลิลละฮฺ (อ่อ ถ้ามีใครจะชวนคุยเรื่องการต่อสู้ของมุสลิมะฮฺล่ะก็ กรุณานิยามคำว่า ‘ต่อสู้’ ให้ตรงกันก่อนนะคะ)

ถึงอย่างนั้น ในทุก ๆ เช้า ข้าพเจ้าไม่เคยลืมที่จะนึกถึงสมัยที่ยังต้องผลัก(และบางทีบางหน-แทบจะต้องมัดมือมัดเท้า) ตัวเองออกจากบ้านไปสู่พื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของกรุงเทพฯ…ก็พื้นที่บนยานพาหนะสาธารณะยามเช้าตั้งแต่รถเมล์ยันรถไฟฟ้านั่นแหละ มันเป็นเช้าที่ชวนสยอง แต่ไม่มากไปกว่าสังคมที่ยานพาหนะนั้นพาเราไปสู่ เอ่อ อย่าให้ย้อนความทรงจำแบบนั้นเลยดีกว่า มันเป็นการทารุณกรรมเกินไป เอาเป็นว่าทุกวันนี้ ข้าพเจ้ายังขยาดถึงชีวิตแบบนั้น และโดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมะฮฺที่ยังต้องใช้ชีวิตแบบนั้น ทั้งด้วยความไม่เต็มใจและยิ่งกว่าไม่เต็มใจ (ก็ถ้าพี่น้องเต็มใจ เขาคงเข้มแข็งพอจะยืนอยู่ได้แหละ อินชาอัลลอฮฺ) และจะขอมุสลิมะฮิสม์สักหน่อยสำหรับการบอกว่าเรื่องความรู้สึก ณ จุด ๆ นี้ไม่มีใครเข้าใจความเลวร้ายของมันได้เท่ากับมุสลิมะฮฺด้วยกันที่เคยประสบชะตากรรมพรรค์เดียวกันนี่หรอก จะบอกให้

ก่อนที่มันจะกลายเป็นรายการวงเวียนชีวิต หรือก่อนที่มันจะกลายเป็นบทความคร่ำครวญน่ารำคาญ (อีกครั้ง๑) ขอเข้าเรื่องดีกว่า สมัยที่ยังต้องไปฟันฝ่ามรสุมมุมซอกบนวิถีชีวิตในสังคมแบบนั้น ข้าพเจ้าต้องเตรียมการหลายอย่างเพื่อรับมือกับหลายสถานการณ์ที่คาดไว้และ เกินคาด คิดหลายครั้งว่ามุสลิมะฮฺเราน่าจะได้มาแบ่งปันวิธีการแบบนี้สู่กันฟัง เผื่อให้พี่น้องที่ยังคงต้องใช้ชีวิตท่ามกลางเรื่องชวนเพลียนั้นได้เอาไปใช้ หรือเอาไปไม่ใช้…ก็แล้วแต่

ต่อไปนี้คือทริกซ์ว่าด้วยทักษะการเอาตัวรอดแบบมุสลิมะฮฺๆ ในสังคมเมือง (เรามีทักษะการเอาชีวิตรอดในป่าลึก แต่ความจริงคือเราเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดในเมืองใหญ่อยู่ทุกวัน) มันเป็นคล้ายวิชาทักษะการใช้ชีวิตมากกว่า ไม่น่าจะมีถูกผิด แต่ถ้าเผื่อว่ามันมี และใครพบคำตอบว่ามัน “ผิด” ก็ช่วยแจ้งเตือนด้วย นี่คือกติกา

๑- เมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องออกจากบ้าน แม้ไปเรียนหรือทำงานตามกิจวัตรปกติ เราควรมีการวางแผนการเดินทางที่เซฟตัวเองที่สุด เป็นต้นว่า คำนวณเวลาออกว่าสามารถหลีกเลี่ยงจราจรไทยไครซิสได้ไหม ถ้ามีช่องทางให้เลือกหลายช่อง-หลายสาย ช่องไหน-สายไหนที่น่าจะปลอดภัยต่อความเป็นมุสลิมะฮฺของเรามากที่สุด ที่สำคัญคืออย่าลืมอ่านดุอาอฺออกจากบ้าน ดุอาอฺขึ้นยานพาหนะ และก็เนียตก่อนออกจากบ้านให้ดีที่สุด มันจะเป็นบ่ะร่อกะฮฺของชีวิต

๒- การเสียสละที่นั่งบนรถเมล์ให้คนแก่และเด็กเป็นสิ่งประเสริฐน่าชมชื่น แต่เราก็ต้องชั่งเหมือนกันว่ามันต้องแลกมาด้วยอะไร เช่น ถ้าต้องแลกกับการเอาตัวเองไปเบียดเสียงกับมหาชนคนโหนรถเมล์ เราอาจจัดเบาเป็นแค่ช่วยคุณป้า หรือคุณน้องคนนั้นถือของ ถ้าเคสมันน่าลุกให้มากมาย เช่น หญิงท้องแก่ (อันนี้เป็นเคสซีเรียสเครียดจริงจัง คนท้องถือเป็นอภิสิทธิ์ชนในสายตาข้าพเจ้าทุกกรณี ตั้งแต่สามีจนกระทั่งรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมสมควรพิจารณาตัวเองที่ปล่อยให้ผู้หญิงท้องแก่ขึ้นมาโหนรถเมล์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรถเมล์เขียวคันเล็ก เว้นแต่บนรถคันนั้นจะมีหน่วยพยาบาลทำคลอดฉุกเฉินไว้คอยบริการ) เราอาจชั่งดูหลาย ๆ อย่าง ถ้าคนรอบตัวเบียดเสียดมาก คนท้องก็อยู่ใกล้มาก และเราไม่ได้รีบมาก อาจตัดสินใจลุกให้คนท้อง แล้วเดินลงรถเมล์ไปรอคันต่อไปเลย (ประชากรมันจะหนาแน่นน้อยกว่าคันเดิมใช่มั้ย?)

๓- ในหลายสถานที่ เช่น รถไฟใต้ดินบางสถานี หรือหน้าสถานที่สำคัญบางแห่ง จะมีระบบตรวจค้นกระเป๋าอัติโนมือ เมื่อเราผ่านด่านตรวจด้วยมือนี้ และเจ้าหน้าที่แสดงความปรารถนาดีสุดซึ้งด้วยการตรวจละเอียดยิบเกินหน้าเกิน ตาคนอื่น ๆ ให้ยืนรออย่างสงบกระทั่งภารกิจการชำแหละกระเป๋าเราเสร็จสิ้น จากนั้น-ถ้ามีอยู่และเป็นไปได้- ให้เลือกช่องซิปเล็ก ๆ มุมหรือซอกหลืบส่วนใดก็ได้ของกระเป๋าที่ยังไม่ถูดสอดส่อง เปิดให้เจ้าหน้าที่คนนั้นดูแล้วบอกว่า “ตรงนี้ยังไม่ได้ตรวจเลยค่ะ”

๔- ในกรณีเป็นสถานที่ที่เราต้องเข้าไปใช้บริการบ่อย ๆ เช่นห้องสมุดในมหาวิทยาลัย ให้เสนอหน้าไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจก่อนที่จะถูกเรียกเลย แผนนี้เรียกว่า “โยนความรำคาญให้เขาแทน” เพราะบางที่หากเราไปบ่อยจนเจ้าหน้าที่จำแม่น แค่เห็นเราเดินตรงรี่ และทำท่าเปิดกระเป่าปรี่เข้ามา เจ้าหน้าที่ก็จะโบกมือให้ผ่านอย่างระอา แต่ถ้าจะให้เจ๋งก็ติดพวกหนังสือดะอฺวะฮฺไว้ในกระเป๋าด้วย พอเขาตรวจเสร็จก็ยื่นให้พร้อมคำขอบคุณที่ปฏิบัติภารกิจการตรวจจับวัตถุ ระเบิดในกระเป๋าเราลุล่วง

๕- สำหรับมุสลิมะฮฺปิดหน้า คนที่อันตรายที่สุดสำหรับคุณไม่ใช่จิ๊กโก๋ที่จะเหล่เฉพาะนักศึกษาผู้แต่งตัวเหมือนสาวเสิร์ฟ แต่สุดยอดตัวอันตรายอันดับหนึ่งสำหรับคนปิดหน้าคือเด็ก เพราะพวกท่านเป็นคนที่ลอยตัวจากทุกความผิด และถ้อยคำของพวกท่านมักทำให้เราอับจนหนทางอธิบาย อาทิเช่น “ผีมา” “นินจา” “ไอ้บ้า” ไปจนถึงร้องไห้จ้า (ซึ่งแน่นอนว่าเราทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปล่อยให้แม่ของแกปลอบโยนไปตามเรื่อง) เมื่อคุณต้องรับมือกับเคสเด็ก ควรขอดุอาอฺไว้ตั้งแต่เห็นแนวโน้มการเผชิญหน้า (เช่น ต้องไปนั่งรถเมล์ข้างกัน) จำไว้ว่าคนที่อนุมัติทุกเสียงพูดของมนุษย์คืออัลลอฮฺ แต่หากพระองค์ประสงค์จะทดสอบคุณด้วยการให้ได้รับฟังคำทักเก๋ ๆ จากเด็กน้อยข้างกาย ก็ให้ท่องหะดีษที่ว่า “ผู้ไม่เมตตาต่อผู้น้อย ไม่ใช่พวกของเรา” ไว้ในใจสามรอบ จากนั้นเมื่อแม่เด็กเผลอไผล ให้อาศัยช่วงจังหวะที่ไม่มีใครเห็น ยักคิ้วหรือขยิบตาใส่ดวงตากลมแป๋วของคนช่างทักไปสักสามที (ไม่รู้ทำไม ส่วนมากเด็กจะเงียบไปเลย พอเจอแบบนี้)

๖-ขณะเดิน ๆ อยู่ถ้าได้ยินคำด่าทอลอยมาเข้าหู ให้กล่าวอะอูซุบิลละฮฺ อย่าตอบโต้ โดยเฉพาะเมื่อแน่ใจว่าผู้พูดเป็นเพศชาย แต่ถ้าผู้พูดเป็นหญิงและอยู่ในบรรยากาศที่พอจะพูดคุยกันได้ อาจหันไปยิ้มด้วยสายตาให้แล้วบอกว่า “มีอะไรสงสัย ถามได้นะคะ”

๗- ถ้าต้องเผชิญกับคนที่พูดจาแย่ๆ หรือทำหน้าเหมือนแม่ป่วยใส่ ตราบที่การพูดจานั้นไม่ก้าวล่วงไปถึงอิสลาม ให้มองเขาในมุมที่เอ็นดู พูดตอบเขาให้ดีที่สุด หวานหยดจนขนลุกไปสามเส้นเลยก็ได้ ถ้าทำได้ (กับผู้หญิงด้วยกัน) เพราะคนที่อคติกับมุสลิม เป้าหมายแรกคือเขาต้องการแสดงออกให้เราเห็นว่าเขาช่างชังน้ำหน้าเราเสียนี่กระไร ฉะนั้นไม่มีการตอบโต้ใดจะทำให้เขาผิดหวังมากไปกว่าแสดงให้เห็นว่าเราไม่รับรู้ความรู้สึกนั้นของเขาเลย ความเห็นและคำพูดของเขามันไม่มีความหมายอะไรสักติ๊ด ไม่เป็นแม้กระทั่งขยะที่ยังอาจเอาไปรีไซเคิลได้ มันคือ nothing อย่างแท้จริง

๘- อาจมีหลายครั้งในชีวิตคนทำงานและนิสิตนักศึกษา ที่ต้องเข้าไปคุยกับเจ้านายหรืออาจารย์ผู้ชายในห้องทำงานส่วนตัว อย่าวางใจในเรื่องนี้ เพราะอิสลามให้ความสำคัญมากนักต่อการห้ามอยู่สองต่อสองระหว่างชายหญิง ฉะนั้น ถ้าเป็นเคสปกติ จงหาเพื่อนเข้าไปด้วยให้ได้ แต่ถ้าเป็นเคสที่ถูกเรียกพบเป็นการส่วนตัว ให้บอกกับเขาตามตรงเลยว่าเราขอพาเพื่อนเข้ามาด้วย เพราะเป็นหลักการศาสนา บลา บลา บลา เฉพาะเคสนักศึกษานั้น ยังไม่เคยเห็นใครที่ขออนุญาตแบบนี้แล้วไม่ได้ตามที่ขอ บิอิซนิลละฮฺ

๙- ชาวเมืองสะดูมยุคสองพันเป็นปัญหาใหญ่ของมุสลิมะฮฺหลายคน(และคงมุสลิมีนด้วย ถ้าจะว่าไป) ทั้งด้วยจำนวนที่มากขึ้น และการประพฤติตัวที่ล้นขึ้นทุกทีของพวกเขา ถ้าเป็นผู้ชายแท้เราก็พูดกับเขาได้ตรง ๆ เข้าใจง่ายๆ แมน ๆ ว่าขอบเขตระหว่างเรากับเขาคือเยี่ยงใด แต่สำหรับคนพวกนี้ที่นับตัวเองเป็นผู้หญิง บางทีมันก็เป็นเรื่องยากเข้าใจสำหรับเขาว่าทำไมเราไม่สามารถปฏิบัติกับเขาเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งได้ (ทั้งที่จริงมันเข้าใจง่ายมากๆเลยนะนี่) แต่ไม่ว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่ เราก็ไม่สามารถยอมให้เขามาถูกเนื้อต้องตัว หรือปฏิบัติอะไรไม่มีขอบเขตกับเราได้ มันควรจะต้องเริ่มที่ไม้อ่อนอย่างการพูดคุยนั่นแหละ แต่ถ้าพูดแล้วไม่ฟัง มันก็ต้องมีโหดกันบ้าง จริง ๆ นะ ความจริงจังของเรานี่แหละ ที่จะเป็นตัวช่วยให้คนรอบตัววางจุดยืนของพวกเขาได้เป็นหลักเป็นแหล่งมากขึ้น และสำหรับคนที่ยังไม่ได้เริ่มต้นปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคมเหล่านี้ เช่น เป็นเฟรชชี่ปีใหม่ ก็ขอให้ทราบว่าการวางขอบเขตของเราไปตั้งแต่ครั้งแรกเลยเป็นสิ่งสำคัญนัก มันจะทำให้เขารู้ได้เองแต่แรกว่าควรปฏิบัติกับเราอย่างไร

๑๐- “อย่ากลัว”…เป็นคำที่เราควรจะท่องไว้ในทุกการเผชิญหน้ากับใคร หรือปรากฏตัวในภาวะบีบคั้นใดก็ตาม ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นใจมากกับผู้แบกรับแนวคิดที่ว่ามุสลิมจะต้องทำทุกอย่างให้เลิศเลอเพอร์เฟคเชคเสปียร์ เช่น เรียนให้เกรดงามแท้ พรีเซนต์งานให้เจ๋งสุดๆ ฯลฯ เพราะเรากำลังแบกสัญลักษณ์ของมุสลิมเอาไว้ (ฉะนั้นมุสลิมะฮฺผู้มีหิญาบบนศีษะยิ่งแบกหนัก เพราะสัญลักษณ์ชัดมาก) คือ วิธีคิดแบบนี้มันคงไม่เป็นอะไรมากหรอก ถ้าผู้แบกรับนั้นสามารถจัดการตัวเองได้ แต่กับพี่น้องบางคนที่ต้องไปอยู่ท่ามกลางเด็กเก่ง ๆ อีกท่วมท้น และเกือบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับเมื่อมีเรื่องต้องออกไปพรีเซนต์งาน หรืออะไรทำนองนี้ เพราะกลัวว่าถ้าทำได้ไม่ดีจะกลายเป็นการทำลายภาพลักษณ์อิสลาม ครั้นเมื่องานจบและประเมินตัวเองว่าทำได้เห่ยบรม ก็เฟวไปเลยสามวันกับอีกเจ็ดคืน (ช่วงกลางคืนจะมีเวลาว่างให้เฟวไปเฟวมามากกว่าช่วงกลางวันนิ) นัยว่าฉันนี่ได้ทำให้คนมองภาพลักษณ์มุสลิมโง่เง่าและห่วยแตกไปแล้ว แต่ว่า…หนูจ๋า สายตาของคนเหล่านั้น หรือแม้แต่ระบบประเมิณผลการศึกษาทั้งระบบน่ะ มันเป็นมาตรฐานที่เฟ่ยยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดอีกแน่ะ ทำไมเราถึงจะเอามันมาใช้วัดค่าของสิ่งที่มีค่ามาก ๆ อย่างอิสลามของเรา ฉะนั้นไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับคนเก่งกาจมาดดีแค่ไหน จำไว้ว่า “อย่ากลัว” พยายามตามความสามารถ อย่าให้สายตาของสังคมที่รสนิยมแสนเฟ่ยนั่นมากดดันบั่นทอนตัวเรา จงเป็นตัวของตัวเองในกรอบอิสลาม การที่เรายังคลุมศีรษะ ยังละหมาด ยังภักดีต่ออัลลออฺองค์เดียว ยังปฏิบัติตัวต่อผู้คนตามคำสั่งใช้อิสลาม นั่นแหละคือภาพลักษณ์อิสลามที่ใสซ่าออร่ากระจายแล้ว และหลังจากนี้ ก็ไม่มีอะไรเลยจะต้องกลัว
 

ที่ว่ามา ก็ดูเว่อร์บ้าง เพี้ยนบ้าง แล้วแต่มุมมอง ใครมีวิธีรับมือที่คูลเก๋เท่ชิคกว่า ทั้งในเคสที่พูดมาหรือเคสอื่นๆ โปรดอย่างรอช้าที่จะเอามาแฉ เอ้ย แชร์กันโดยเบิกบานชื่นฉ่ำแต่ไม่ทิ้งอารยธรรมของสุภาพชน