ศาสนาอิสลาม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ศาสนาอิสลาม ประวัติศาสนาอิสลาม | |
พระเจ้า | |
อัลลอฮ์ | |
ศาสดา | |
มุฮัมมัด | |
การปฏิบัติ | |
ปฎิญานตน · ละหมาด· ศีลอด · ซะกาต · ฮัจญ์ | |
บุคคลสำคัญ | |
มุฮัมมัด · อีซา · มูซา · อิบรอฮีม · นุหฺ | |
คัมภีร์และหนังสือ | |
อัลกุรอาน · เตารอต · อินญีล · ซะบูร | |
ธรรมนูญและกฎหมาย | |
อัลกุรอาน · ซุนนะฮฺ · ชะรีอะฮ์ · ฟิกฮฺ | |
จุดแยกอะกีดะฮ์ | |
ซุนนี · ชีอะฮ์ | |
สังคมศาสนาอิสลาม | |
เมือง · ปฏิทิน ·มัสยิด· สถาปัตยกรรม · ศิลปะ · บุคคล | |
ดูเพิ่มเติม | |
จิฮาด · ศัพท์ · หมวดหมู่ศาสนาอิสลาม |
ในโลกของเรานี้มีจำนวนประเทศกว่า 200 ประเทศ เป็นประเทศมุสลิมกว่า 67 ประเทศ ในประเทศไทยมีศาสนาอิสลามเข้ามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ศาสดาของศาสนาอิสลามคือ มุฮัมหมัด
ศาสนาอิสลาม คือ ความศรัทธา ข้อบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิบัติและจริยธรรม ซึ่งบรรดาศาสดา ที่อัลลอฮฺ ได้ประทานลงมาเป็นผู้นำ เพื่อมาสั่งสอนและแนะนำแก่มวลมนุษยชาติ สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เรียกว่า ดีน หรือ ศาสนา นั่นเอง ผู้ที่มีความศรัทธาจะตระหนักอยู่เสมอว่า ชีวิตของเขาได้พันธนาการเข้ากับอำนาจสูงสุดของพระผู้ทรงสร้างโลก ในทุกสถานภาพของเขาจะรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า และมอบหมายตนเองให้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระองค์ตลอดเวลา เขาเป็นผู้มีจิตใจมั่นคงและมีสมาธิเสมอ
เนื้อหา[ซ่อน] |
[แก้] ความหมายของ อิสลาม
อิสลามคือรูปแบบการดำเนินชีวิตทีถูกกำหนดโดยผู้ที่รู้รายละเอียดของมนุษย์มากที่สุดก็คือผู้สร้าง..อัลลอฮฺคำว่า อัลลอฮฺ แปลว่า พระเจ้า ซึ่งเป็นคำเรียกเฉพาะที่แยกออกจากคำในภาษาอาหรับอื่นๆที่มีความหมายว่า พระเจ้า
อิสลาม เป็นคำภาษาอาหรับ الإسلام แปลว่า การสวามิภักดิ์ ซึ่งหมายถึงการสวามิภักดิ์อย่างบริบูรณ์แด่ อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ อิสลาม มีรากศัพท์มาจากคำว่า อัส-สิลมฺ หมายถึง สันติ โดยนัยว่าการสวามิภักดิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้มนุษย์ได้พบกับสันติภาพทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ตั้งแต่แรกเริ่มของการกำเนิดของมนุษย์ คือนบีอาดัม ผ่านศาสดามาหลายท่านในแต่ละยุคสมัย จนถึงศาสดาท่านสุดท้ายคือมุหัมมัด และส่งผ่านมายังปัจจุบันและอนาคต จนถึงวันสิ้นโลก
บรรดาศาสนทูตในอดีตล้วนแต่ได้รับมอบหมายให้สอนศาสนาอิสลามแก่มนุษยชาติ ศาสนทูตท่านสุดท้ายคือนมุหัมมัด บุตรของอับดุลลอฮฺ บินอับดิลมุฏฏอลิบ จากเผ่ากุเรชแห่งอารเบีย ได้รับมอบหมายให้เผยแผ่สาส์นของอัลลอฮ์ในช่วงปี ค.ศ. 610 - 633 เฉกเช่นบรรดาศาสดาในอดีต โดยมี มะลักญิบรีล เป็นสื่อระหว่างอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าและบรรดาศาสดาท่านต่างๆมาโดยตลอด
พระโองการแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่ทะยอยลงมาในเวลา 23 ปี ได้รับการรวบรวมขึ้นเป็นเล่มมีชื่อว่า อัลกุรอาน ซึ่งเป็นธรรมนูญแห่งชีวิตมนุษย์ และแบบอย่าง และวจนะที่รายงานโดยบุคคลรอบข้างที่ผ่านการกลั่นกรองสายรายงานแล้วเรียกว่า หะดีษ เพื่อที่มนุษย์จะได้ยึดเป็นแบบอย่าง และแนวทางในการครองตนบนโลกนี้อย่างถูกต้องก่อนกลับคืนสู่พระผู้เป็นเจ้า
สาส์นแห่งอิสลามที่ถูกส่งมาให้แก่มนุษย์ทั้งมวลมีจุดประสงค์หลัก 3 ประการคือ:
- เป็นอุดมการณ์ที่สอนมนุษย์ให้ศรัทธาในอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ที่สมควรแก่การเคารพบูชาและภักดีโดยไม่นำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเทียบเคียง ศรัทธาในความยุติธรรมของพระองค์ ศรัทธาในพระโองการแห่งพระองค์ ศรัทธาในวันปรโลก วันซึ่งมนุษย์ฟื้นคืนชีพอีกครั้งเพื่อรับการพิพากษา และรับผลตอบแทนของความดีความชั่วที่ตนได้ปฏิบัติไปในโลกนี้ มั่นใจและไว้วางใจต่อพระองค์ เพราะพระองค์คือที่พึ่งพาของทุกสรรพสิ่ง มนุษย์จะต้องไม่สิ้นหวังในความเมตตาของพระองค์ และพระองค์คือปฐมเหตุแห่งคุณงามความดีทั้งปวง
- เป็นธรรมนูญสำหรับมนุษย์ เพื่อให้เกิดความสงบสุขในชีวิตส่วนตัว และสังคม เป็นธรรมนูญที่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ หรือนิติศาสตร์ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ไปจนกระทั่งระดับรัฐ อิสลามสั่งสอนให้มนุษย์อยู่กันด้วยความเป็นมิตร ละเว้นการรบราฆ่าฟันโดยไม่มีเหตุอันควร การทะเลาะเบาะแว้ง การละเมิดและรุกรานสิทธิของผู้อื่น ไม่ลักขโมย ฉ้อฉล หลอกลวง ไม่ผิดประเวณี หรือทำอนาจาร ไม่ดื่มของมึนเมาหรือรับประทานสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกายและจิตใจ ไม่บ่อนทำลายสังคมแม้ว่าในรูปแบบใดก็ตาม
- เป็นจริยธรรมอันสูงส่งเพื่อการครองตนอย่างมีเกียรติ เน้นความอดกลั้น ความซื่อสัตย์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตากรุณา ความกตัญญูกตเวที ความสะอาดของกายและใจ ความกล้าหาญ การให้อภัย ความเท่าเทียม และความเสมอภาคระหว่างมนุษย์ การเคารพสิทธิของผู้อื่น สั่งสอนให้ละเว้นความตระหนี่ถี่เหนียว ความอิจฉาริษยา การติฉินนินทา ความเขลาและความขลาดกลัว การทรยศและอกตัญญู การล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น
[แก้] หลักคำสอน
หลักคำสอนของศาสนาอิสลามแบ่งไว้ 3 หมวดดังนี้- หลักการศรัทธา
- หลักจริยธรรม
- หลักการปฏิบัติ
[แก้] หลักการศรัทธา
สติปัญญาและสามัญสำนึกจะพบว่า จักรวาลและมวลสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ มิได้อุบัติขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็นที่แน่ชัดว่า สิ่งเหล่านี้ได้ถูกอุบัติขึ้นมาโดยพระผู้สร้าง ผู้ทรงสูงสุดเพียงพระองค์เดียว ที่ไม่แบ่งภาค หรือแบ่งแยกเป็นสิ่งใด ไม่ถูกบังเกิด ไม่ถูกกำเนิด และไม่ให้กำเนิดบุตร ธิดาใดๆ ผู้ทรงสร้าง และบริหารสรรพสิ่งด้วยอำนาจและความรอบรู้ที่ไร้ขอบเขต ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ที่โดยทั่วไปไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือไว้ทั่วทั้งจักรวาลหรือที่เข้าใจว่าเป็น"กฎธรรมชาติ" ทรงขับเคลื่อนจักรวาลด้วยระบบที่ละเอียดอ่อน มีเป้าหมาย ซึ่งไม่มีสรรพสิ่งใดถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร้สาระพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตา ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาอย่างประเสริฐจะเป็นไปได้อย่างไร ที่พระองค์จะปล่อยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่ไปตามลำพัง โดยไม่ทรงเหลียวแล หรือปล่อยให้สังคมมนุษย์ และสิ่งมีชีวิต กำเนิดขึ้น แล้วดำเนินไปตามยถากรรมของตัวเอง สภาวะแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่จึงเป็นความพอดีอย่างทีสุดที่ผู้ใช้ปัญญา ไม่สามารถอธิบายได้ด้วย"ความบังเอิญ" สอดคล้องตามทฤษฎีความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์
พระองค์ทรงขจัดความสงสัยเหล่านี้ ด้วยการประทานกฎการปฏิบัติต่าง ๆ ผ่านบรรดาศาสดา ให้มาสั่งสอนและแนะนำมนุษย์ไปสู่การปฏิบัติ สำหรับการดำเนินชีวิต แน่นอนมนุษย์อาจมองไม่เห็นผล หรือได้รับประโยชน์จากการทำความดี หรือได้รับโทษจากการทำชั่ว ของตนในชีวิตบนโลกนี้ ที่เป็นเพียงโลกแห่งการทดสอบ โลกแห่งการตอบแทนที่แท้จริงยังมาไม่ถึง
จากจุดนี้ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า ต้องมีสถานที่อื่นอีก อันเป็นสถานที่ตรวจสอบการกระทำของมนุษย์ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ถ้าเป็นความดีพวกเขาจะได้รับรางวัลเป็นผลตอบแทน แต่ถ้าเป็นความชั่วกจะถูกลงโทษไปตามผลกรรมนั้น ศาสนาได้เชิญชวนมนุษย์ไปสู่หลักการศรัทธา และความเชื่อมั่นที่สัตย์จริง พร้อมพยายามผลักดันมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากความโง่เขลาเบาปัญญา ระบอบการกดขี่ การแบ่งชั้นวรรณะ และบังเกิดสันติสุขของมนุษยชาติโดยรวมในที่สุด
[แก้] หลักศรัทธาอิสลามแนวท่านศาสดาที่เชื่อถือได้ (ซุนนีย์)
- ศรัทธาว่าอัลลอฮฺเป็นพระเจ้า
- ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ต่าง ๆ ที่อัลลอหฺประทานลงมาในอดีต เช่น เตารอต อินญีล ซะบูร และอัลกุรอาน
- ศรัทธาในบรรดาศาสนทูตต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงส่งมายังหมู่มนุษย์ และนบีมุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นศาสนทูตคนสุดท้าย
- ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะฮฺ บ่าวผู้รับใช้อัลลอฮฺ
- ศรัทธาในวันสิ้นสุดท้าย คือหลังจากสิ้นโลกแล้ว มนุษย์จะฟื้นขึ้น เพื่อรับการตอบสนองความดีความชั่วที่ได้ทำไปบนโลกนี้
- ศรัทธาในกฎสภาวะ หรือ สิ่งที่เป็นการกำหนด และเงื่อนไขการกำหนดจากพระผู้เป็นเจ้า
[แก้] หลักจริยธรรม
ศาสนาสอนว่า ในการดำเนินชีวิตจงเลือกสรรเฉพาะสิ่งที่ดี อันเป็นที่ยอมรับของสังคม จงทำตนให้เป็นผู้ดำรงอยู่ในศีลธรรม พัฒนาตนเองไปสู่การมีบุคลิกภาพที่ดี เป็นคนที่รู้จักหน้าที่ ห่วงใย มีเมตตา มีความรัก ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น รู้จักปกป้องสิทธิของตน ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น เป็นผู้มีความเสียสละไม่เห็นแก่ตัว และหมั่นใฝ่หาความรู้ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นคุณสมบัติของผู้มีจริยธรรม ซึ่งความสมบูรณ์ทั้งหมดอยู่ที่ความยุติธรรม[แก้] หลักการปฏิบัติ
ศาสนาสอนว่า กิจการงานต่าง ๆ ที่จะทำนั้น มีความเหมาะสมกับตนเองและสังคม ขณะเดียวกันต้องออกห่างจากการงานที่ไม่ดี ที่สร้างความเสื่อมเสียอย่างสิ้นเชิงส่วนการประกอบคุณงามความดีอื่น ๆ การถือศีลอด การนมาซ และสิ่งที่คล้ายคลึงกับสิ่งเหล่านี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเป็นบ่าวที่จงรักภักดี และปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์ กฎเกณฑ์และคำสอนของศาสนา ทำหน้าที่คอยควบคุมความประพฤติของมนุษย์ ทั้งที่เป็นหลักศรัทธา หลักปฏิบัติและจริยธรรม
เราอาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ละเมิดคำสั่งต่าง ๆ ของศาสนา มิได้ถือว่าเขาเป็นผู้ที่ศรัทธาอย่างแท้จริง หากแต่เขากระทำการต่าง ๆ ไปตามอารมณ์และความต้องการใฝ่ต่ำของเขาเท่านั้น เอง
ศาสนาอิสลามในความหมายของอัล-กุรอานนั้น หมายถึง "แนวทางในการดำเนินชีวิต ที่มนุษย์จะปราศจากมันไม่ได้" ส่วนความแตกต่างระหว่างศาสนากับกฎของสังคมนั้น คือศาสนาได้ถูกประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้า ส่วนกฎของสังคมเกิดขึ้นจากความคิดของมนุษย์ อีกนัยหนึ่ง ศาสนาอิสลามหมายถึง การดำเนินของสังคมที่เคารพต่ออัลลอหฺ และเชื่อฟังปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์
อัลลอฮ์ ทรงตรัสเกี่ยวกับศาสนาอิสลามว่า "แท้จริง ศาสนา ณ อัลลอฮฺ คืออิสลาม และบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์มิได้ขัดแย้งกัน นอกจากภายหลังที่ความรู้มาปรากฏแก่พวกเขาเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากความอิจฉาริษยาระหว่างพวกเขาเอง และผู้ใดปฏิเสธต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์แล้วไซร้ แน่นอน อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระ" (อัลกุรอาน อาลิอิมรอน:19)
[แก้] ศาสนวินัย นิติศาสตร์และการพิพากษา
- วาญิบ คือหลักปฏิบัติภาคบังคับที่มุกัลลัฟ (มุสลิมผู้อยู่ในศาสนนิติภาวะ) ทุกคน ต้องปฏิบัติตาม ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงทัณฑ์ เช่นการปฏิบัติตาม ฐานบัญญัติของอิสลาม (รุกน) ต่าง ๆ การศึกษาวิทยาการอิสลาม การทำมาหากินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เป็นต้น
- ฮะรอม คือกฏบัญญัติห้ามที่มุกัลลัฟทุกคนต้องละเว้น ผู้ที่ไม่ละเว้นจะต้องถูกลงทัณฑ์
- ฮะลาล คือกฏบัญญัติอนุมัติให้มุกัลลัฟกระทำได้ อันได้แก่ การนึกคิด วาจา และการกระทำที่ศาสนาได้อนุมัติให้ เช่น การรับประทานเนื้อปศุสัตว์ที่ได้รับการเชือดอย่างถูกต้อง การค้าขายโดยสุจริตวิธี การสมรสกับสตรีตามกฏเกณฑ์ที่ได้ระบุไว้ เป็นต้น
- มุสตะฮับ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ซุนนะฮฺ (ซุนนะห์, ซุนนัต) คือกฏบัญญัติชักชวนให้มุสลิม และมุกัลลัฟกระทำ หากไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้เป็นการฝ่าฝืนศาสนวินัย โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับหลักจริยธรรม เช่นการใช้น้ำหอม การขริบเล็บให้สั้นเสมอ การนมาซนอกเหนือการนมาซภาคบังคับ
- มักรูฮฺ คือกฏบัญญัติอนุมัติให้มุกัลลัฟกระทำได้ แต่พึงละเว้น คำว่า มักรูหฺ ในภาษาอาหรับมีความหมายว่า น่ารังเกียจ โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับหลักจริยธรรม เช่นการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นน่ารังเกียจ การสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขัดต่อกาลเทศะ เป็นต้น
- มุบาฮฺ คือสิ่งที่กฏบัญญัติไม่ได้ระบุเจาะจง จึงเป็นความอิสระสำหรับมุกัลลัฟที่จะเลือกกระทำหรือละเว้น เช่นการเลือกพาหนะ อุปกรณ์เครื่องใช้ หรือ การเล่นกีฬาที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติห้าม
[แก้] ฐานบัญญัติอิสลาม (รุกุน) ของซุนนีย์
- การปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอหฺและมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอหฺ
- ดำรงการละหมาด วันละ 5 เวลา
- จ่ายซะกาต
- ถือศีลอดในเดือนรอมะฎอนทุกปี
- บำเพ็ญฮัจญ์ หากมีความสามารถ
มุสลิมะฮฺกับสารพัดเหตุการณ์ชวนเพลียในชีวิต
แม้ทุกวันนี้ข้าพเจ้าจะออกมานั่งทำงานอยู่กับบ้าน(ทำงานจริง ๆ นะ ไม่ได้โม้) เป็นงานหลักและงานอดิเรก (ทำไมถึงใช้คำว่า ‘ออกมาอยู่กับบ้าน’ มันต้อง ‘กลับมาอยู่กับบ้าน’ สิ) หากมีเรื่องต้องโผล่หัวออกจากบ้านบ้าง ก็มักเป็นกรณีที่สามารถเลือกเวลาและสถานที่ให้ไม่ก่ออันตรายแก่ชีวิตและหัวใจมากนักได้บ้างตามสมควร อัลฮัมดุลิลละฮฺ (อ่อ ถ้ามีใครจะชวนคุยเรื่องการต่อสู้ของมุสลิมะฮฺล่ะก็ กรุณานิยามคำว่า ‘ต่อสู้’ ให้ตรงกันก่อนนะคะ)
ถึงอย่างนั้น ในทุก ๆ เช้า ข้าพเจ้าไม่เคยลืมที่จะนึกถึงสมัยที่ยังต้องผลัก(และบางทีบางหน-แทบจะต้องมัดมือมัดเท้า) ตัวเองออกจากบ้านไปสู่พื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของกรุงเทพฯ…ก็พื้นที่บนยานพาหนะสาธารณะยามเช้าตั้งแต่รถเมล์ยันรถไฟฟ้านั่นแหละ มันเป็นเช้าที่ชวนสยอง แต่ไม่มากไปกว่าสังคมที่ยานพาหนะนั้นพาเราไปสู่ เอ่อ อย่าให้ย้อนความทรงจำแบบนั้นเลยดีกว่า มันเป็นการทารุณกรรมเกินไป เอาเป็นว่าทุกวันนี้ ข้าพเจ้ายังขยาดถึงชีวิตแบบนั้น และโดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมะฮฺที่ยังต้องใช้ชีวิตแบบนั้น ทั้งด้วยความไม่เต็มใจและยิ่งกว่าไม่เต็มใจ (ก็ถ้าพี่น้องเต็มใจ เขาคงเข้มแข็งพอจะยืนอยู่ได้แหละ อินชาอัลลอฮฺ) และจะขอมุสลิมะฮิสม์สักหน่อยสำหรับการบอกว่าเรื่องความรู้สึก ณ จุด ๆ นี้ไม่มีใครเข้าใจความเลวร้ายของมันได้เท่ากับมุสลิมะฮฺด้วยกันที่เคยประสบชะตากรรมพรรค์เดียวกันนี่หรอก จะบอกให้
ก่อนที่มันจะกลายเป็นรายการวงเวียนชีวิต หรือก่อนที่มันจะกลายเป็นบทความคร่ำครวญน่ารำคาญ (อีกครั้ง๑) ขอเข้าเรื่องดีกว่า สมัยที่ยังต้องไปฟันฝ่ามรสุมมุมซอกบนวิถีชีวิตในสังคมแบบนั้น ข้าพเจ้าต้องเตรียมการหลายอย่างเพื่อรับมือกับหลายสถานการณ์ที่คาดไว้และ เกินคาด คิดหลายครั้งว่ามุสลิมะฮฺเราน่าจะได้มาแบ่งปันวิธีการแบบนี้สู่กันฟัง เผื่อให้พี่น้องที่ยังคงต้องใช้ชีวิตท่ามกลางเรื่องชวนเพลียนั้นได้เอาไปใช้ หรือเอาไปไม่ใช้…ก็แล้วแต่
ต่อไปนี้คือทริกซ์ว่าด้วยทักษะการเอาตัวรอดแบบมุสลิมะฮฺๆ ในสังคมเมือง (เรามีทักษะการเอาชีวิตรอดในป่าลึก แต่ความจริงคือเราเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดในเมืองใหญ่อยู่ทุกวัน) มันเป็นคล้ายวิชาทักษะการใช้ชีวิตมากกว่า ไม่น่าจะมีถูกผิด แต่ถ้าเผื่อว่ามันมี และใครพบคำตอบว่ามัน “ผิด” ก็ช่วยแจ้งเตือนด้วย นี่คือกติกา
๑- เมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องออกจากบ้าน แม้ไปเรียนหรือทำงานตามกิจวัตรปกติ เราควรมีการวางแผนการเดินทางที่เซฟตัวเองที่สุด เป็นต้นว่า คำนวณเวลาออกว่าสามารถหลีกเลี่ยงจราจรไทยไครซิสได้ไหม ถ้ามีช่องทางให้เลือกหลายช่อง-หลายสาย ช่องไหน-สายไหนที่น่าจะปลอดภัยต่อความเป็นมุสลิมะฮฺของเรามากที่สุด ที่สำคัญคืออย่าลืมอ่านดุอาอฺออกจากบ้าน ดุอาอฺขึ้นยานพาหนะ และก็เนียตก่อนออกจากบ้านให้ดีที่สุด มันจะเป็นบ่ะร่อกะฮฺของชีวิต
๒- การเสียสละที่นั่งบนรถเมล์ให้คนแก่และเด็กเป็นสิ่งประเสริฐน่าชมชื่น แต่เราก็ต้องชั่งเหมือนกันว่ามันต้องแลกมาด้วยอะไร เช่น ถ้าต้องแลกกับการเอาตัวเองไปเบียดเสียงกับมหาชนคนโหนรถเมล์ เราอาจจัดเบาเป็นแค่ช่วยคุณป้า หรือคุณน้องคนนั้นถือของ ถ้าเคสมันน่าลุกให้มากมาย เช่น หญิงท้องแก่ (อันนี้เป็นเคสซีเรียสเครียดจริงจัง คนท้องถือเป็นอภิสิทธิ์ชนในสายตาข้าพเจ้าทุกกรณี ตั้งแต่สามีจนกระทั่งรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมสมควรพิจารณาตัวเองที่ปล่อยให้ผู้หญิงท้องแก่ขึ้นมาโหนรถเมล์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรถเมล์เขียวคันเล็ก เว้นแต่บนรถคันนั้นจะมีหน่วยพยาบาลทำคลอดฉุกเฉินไว้คอยบริการ) เราอาจชั่งดูหลาย ๆ อย่าง ถ้าคนรอบตัวเบียดเสียดมาก คนท้องก็อยู่ใกล้มาก และเราไม่ได้รีบมาก อาจตัดสินใจลุกให้คนท้อง แล้วเดินลงรถเมล์ไปรอคันต่อไปเลย (ประชากรมันจะหนาแน่นน้อยกว่าคันเดิมใช่มั้ย?)
๓- ในหลายสถานที่ เช่น รถไฟใต้ดินบางสถานี หรือหน้าสถานที่สำคัญบางแห่ง จะมีระบบตรวจค้นกระเป๋าอัติโนมือ เมื่อเราผ่านด่านตรวจด้วยมือนี้ และเจ้าหน้าที่แสดงความปรารถนาดีสุดซึ้งด้วยการตรวจละเอียดยิบเกินหน้าเกิน ตาคนอื่น ๆ ให้ยืนรออย่างสงบกระทั่งภารกิจการชำแหละกระเป๋าเราเสร็จสิ้น จากนั้น-ถ้ามีอยู่และเป็นไปได้- ให้เลือกช่องซิปเล็ก ๆ มุมหรือซอกหลืบส่วนใดก็ได้ของกระเป๋าที่ยังไม่ถูดสอดส่อง เปิดให้เจ้าหน้าที่คนนั้นดูแล้วบอกว่า “ตรงนี้ยังไม่ได้ตรวจเลยค่ะ”
๔- ในกรณีเป็นสถานที่ที่เราต้องเข้าไปใช้บริการบ่อย ๆ เช่นห้องสมุดในมหาวิทยาลัย ให้เสนอหน้าไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจก่อนที่จะถูกเรียกเลย แผนนี้เรียกว่า “โยนความรำคาญให้เขาแทน” เพราะบางที่หากเราไปบ่อยจนเจ้าหน้าที่จำแม่น แค่เห็นเราเดินตรงรี่ และทำท่าเปิดกระเป่าปรี่เข้ามา เจ้าหน้าที่ก็จะโบกมือให้ผ่านอย่างระอา แต่ถ้าจะให้เจ๋งก็ติดพวกหนังสือดะอฺวะฮฺไว้ในกระเป๋าด้วย พอเขาตรวจเสร็จก็ยื่นให้พร้อมคำขอบคุณที่ปฏิบัติภารกิจการตรวจจับวัตถุ ระเบิดในกระเป๋าเราลุล่วง
๕- สำหรับมุสลิมะฮฺปิดหน้า คนที่อันตรายที่สุดสำหรับคุณไม่ใช่จิ๊กโก๋ที่จะเหล่เฉพาะนักศึกษาผู้แต่งตัวเหมือนสาวเสิร์ฟ แต่สุดยอดตัวอันตรายอันดับหนึ่งสำหรับคนปิดหน้าคือเด็ก เพราะพวกท่านเป็นคนที่ลอยตัวจากทุกความผิด และถ้อยคำของพวกท่านมักทำให้เราอับจนหนทางอธิบาย อาทิเช่น “ผีมา” “นินจา” “ไอ้บ้า” ไปจนถึงร้องไห้จ้า (ซึ่งแน่นอนว่าเราทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปล่อยให้แม่ของแกปลอบโยนไปตามเรื่อง) เมื่อคุณต้องรับมือกับเคสเด็ก ควรขอดุอาอฺไว้ตั้งแต่เห็นแนวโน้มการเผชิญหน้า (เช่น ต้องไปนั่งรถเมล์ข้างกัน) จำไว้ว่าคนที่อนุมัติทุกเสียงพูดของมนุษย์คืออัลลอฮฺ แต่หากพระองค์ประสงค์จะทดสอบคุณด้วยการให้ได้รับฟังคำทักเก๋ ๆ จากเด็กน้อยข้างกาย ก็ให้ท่องหะดีษที่ว่า “ผู้ไม่เมตตาต่อผู้น้อย ไม่ใช่พวกของเรา” ไว้ในใจสามรอบ จากนั้นเมื่อแม่เด็กเผลอไผล ให้อาศัยช่วงจังหวะที่ไม่มีใครเห็น ยักคิ้วหรือขยิบตาใส่ดวงตากลมแป๋วของคนช่างทักไปสักสามที (ไม่รู้ทำไม ส่วนมากเด็กจะเงียบไปเลย พอเจอแบบนี้)
๖-ขณะเดิน ๆ อยู่ถ้าได้ยินคำด่าทอลอยมาเข้าหู ให้กล่าวอะอูซุบิลละฮฺ อย่าตอบโต้ โดยเฉพาะเมื่อแน่ใจว่าผู้พูดเป็นเพศชาย แต่ถ้าผู้พูดเป็นหญิงและอยู่ในบรรยากาศที่พอจะพูดคุยกันได้ อาจหันไปยิ้มด้วยสายตาให้แล้วบอกว่า “มีอะไรสงสัย ถามได้นะคะ”
๗- ถ้าต้องเผชิญกับคนที่พูดจาแย่ๆ หรือทำหน้าเหมือนแม่ป่วยใส่ ตราบที่การพูดจานั้นไม่ก้าวล่วงไปถึงอิสลาม ให้มองเขาในมุมที่เอ็นดู พูดตอบเขาให้ดีที่สุด หวานหยดจนขนลุกไปสามเส้นเลยก็ได้ ถ้าทำได้ (กับผู้หญิงด้วยกัน) เพราะคนที่อคติกับมุสลิม เป้าหมายแรกคือเขาต้องการแสดงออกให้เราเห็นว่าเขาช่างชังน้ำหน้าเราเสียนี่กระไร ฉะนั้นไม่มีการตอบโต้ใดจะทำให้เขาผิดหวังมากไปกว่าแสดงให้เห็นว่าเราไม่รับรู้ความรู้สึกนั้นของเขาเลย ความเห็นและคำพูดของเขามันไม่มีความหมายอะไรสักติ๊ด ไม่เป็นแม้กระทั่งขยะที่ยังอาจเอาไปรีไซเคิลได้ มันคือ nothing อย่างแท้จริง
๘- อาจมีหลายครั้งในชีวิตคนทำงานและนิสิตนักศึกษา ที่ต้องเข้าไปคุยกับเจ้านายหรืออาจารย์ผู้ชายในห้องทำงานส่วนตัว อย่าวางใจในเรื่องนี้ เพราะอิสลามให้ความสำคัญมากนักต่อการห้ามอยู่สองต่อสองระหว่างชายหญิง ฉะนั้น ถ้าเป็นเคสปกติ จงหาเพื่อนเข้าไปด้วยให้ได้ แต่ถ้าเป็นเคสที่ถูกเรียกพบเป็นการส่วนตัว ให้บอกกับเขาตามตรงเลยว่าเราขอพาเพื่อนเข้ามาด้วย เพราะเป็นหลักการศาสนา บลา บลา บลา เฉพาะเคสนักศึกษานั้น ยังไม่เคยเห็นใครที่ขออนุญาตแบบนี้แล้วไม่ได้ตามที่ขอ บิอิซนิลละฮฺ
๙- ชาวเมืองสะดูมยุคสองพันเป็นปัญหาใหญ่ของมุสลิมะฮฺหลายคน(และคงมุสลิมีนด้วย ถ้าจะว่าไป) ทั้งด้วยจำนวนที่มากขึ้น และการประพฤติตัวที่ล้นขึ้นทุกทีของพวกเขา ถ้าเป็นผู้ชายแท้เราก็พูดกับเขาได้ตรง ๆ เข้าใจง่ายๆ แมน ๆ ว่าขอบเขตระหว่างเรากับเขาคือเยี่ยงใด แต่สำหรับคนพวกนี้ที่นับตัวเองเป็นผู้หญิง บางทีมันก็เป็นเรื่องยากเข้าใจสำหรับเขาว่าทำไมเราไม่สามารถปฏิบัติกับเขาเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งได้ (ทั้งที่จริงมันเข้าใจง่ายมากๆเลยนะนี่) แต่ไม่ว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่ เราก็ไม่สามารถยอมให้เขามาถูกเนื้อต้องตัว หรือปฏิบัติอะไรไม่มีขอบเขตกับเราได้ มันควรจะต้องเริ่มที่ไม้อ่อนอย่างการพูดคุยนั่นแหละ แต่ถ้าพูดแล้วไม่ฟัง มันก็ต้องมีโหดกันบ้าง จริง ๆ นะ ความจริงจังของเรานี่แหละ ที่จะเป็นตัวช่วยให้คนรอบตัววางจุดยืนของพวกเขาได้เป็นหลักเป็นแหล่งมากขึ้น และสำหรับคนที่ยังไม่ได้เริ่มต้นปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคมเหล่านี้ เช่น เป็นเฟรชชี่ปีใหม่ ก็ขอให้ทราบว่าการวางขอบเขตของเราไปตั้งแต่ครั้งแรกเลยเป็นสิ่งสำคัญนัก มันจะทำให้เขารู้ได้เองแต่แรกว่าควรปฏิบัติกับเราอย่างไร
๑๐- “อย่ากลัว”…เป็นคำที่เราควรจะท่องไว้ในทุกการเผชิญหน้ากับใคร หรือปรากฏตัวในภาวะบีบคั้นใดก็ตาม ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นใจมากกับผู้แบกรับแนวคิดที่ว่ามุสลิมจะต้องทำทุกอย่างให้เลิศเลอเพอร์เฟคเชคเสปียร์ เช่น เรียนให้เกรดงามแท้ พรีเซนต์งานให้เจ๋งสุดๆ ฯลฯ เพราะเรากำลังแบกสัญลักษณ์ของมุสลิมเอาไว้ (ฉะนั้นมุสลิมะฮฺผู้มีหิญาบบนศีษะยิ่งแบกหนัก เพราะสัญลักษณ์ชัดมาก) คือ วิธีคิดแบบนี้มันคงไม่เป็นอะไรมากหรอก ถ้าผู้แบกรับนั้นสามารถจัดการตัวเองได้ แต่กับพี่น้องบางคนที่ต้องไปอยู่ท่ามกลางเด็กเก่ง ๆ อีกท่วมท้น และเกือบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับเมื่อมีเรื่องต้องออกไปพรีเซนต์งาน หรืออะไรทำนองนี้ เพราะกลัวว่าถ้าทำได้ไม่ดีจะกลายเป็นการทำลายภาพลักษณ์อิสลาม ครั้นเมื่องานจบและประเมินตัวเองว่าทำได้เห่ยบรม ก็เฟวไปเลยสามวันกับอีกเจ็ดคืน (ช่วงกลางคืนจะมีเวลาว่างให้เฟวไปเฟวมามากกว่าช่วงกลางวันนิ) นัยว่าฉันนี่ได้ทำให้คนมองภาพลักษณ์มุสลิมโง่เง่าและห่วยแตกไปแล้ว แต่ว่า…หนูจ๋า สายตาของคนเหล่านั้น หรือแม้แต่ระบบประเมิณผลการศึกษาทั้งระบบน่ะ มันเป็นมาตรฐานที่เฟ่ยยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดอีกแน่ะ ทำไมเราถึงจะเอามันมาใช้วัดค่าของสิ่งที่มีค่ามาก ๆ อย่างอิสลามของเรา ฉะนั้นไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับคนเก่งกาจมาดดีแค่ไหน จำไว้ว่า “อย่ากลัว” พยายามตามความสามารถ อย่าให้สายตาของสังคมที่รสนิยมแสนเฟ่ยนั่นมากดดันบั่นทอนตัวเรา จงเป็นตัวของตัวเองในกรอบอิสลาม การที่เรายังคลุมศีรษะ ยังละหมาด ยังภักดีต่ออัลลออฺองค์เดียว ยังปฏิบัติตัวต่อผู้คนตามคำสั่งใช้อิสลาม นั่นแหละคือภาพลักษณ์อิสลามที่ใสซ่าออร่ากระจายแล้ว และหลังจากนี้ ก็ไม่มีอะไรเลยจะต้องกลัว
ที่ว่ามา ก็ดูเว่อร์บ้าง เพี้ยนบ้าง แล้วแต่มุมมอง ใครมีวิธีรับมือที่คูลเก๋เท่ชิคกว่า ทั้งในเคสที่พูดมาหรือเคสอื่นๆ โปรดอย่างรอช้าที่จะเอามาแฉ เอ้ย แชร์กันโดยเบิกบานชื่นฉ่ำแต่ไม่ทิ้งอารยธรรมของสุภาพชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น